บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์ประจำวันที่ 15-19 พฤศจิกายน 2021

บ้านโคก / อุตรดิตถ์

15 พ.ย. 2564 เวลา 15:30 น.

เก็บไว้ดูภายหลัง
ราคา 1 บาท
เข้าชม 267 ครั้ง
รายละเอียดสินค้า
บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์ประจำวันที่ 15-19 พฤศจิกายน 2021
.
EUR/USD: เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเท่ากับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น

สถิติทั้งหมดของเศรษฐศาสตร์มหภาคในสหรัฐฯ แย่กว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ยังคงแข็งค่าขึ้น ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) ที่วัดค่าเงินนี้เทียบกับค่าเงินหลักอื่นๆ อีกหกค่าเงิน แตะที่ 95.26 เมื่อวันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน เพิ่มขึ้นราว 2% ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าทุกอย่างควรเป็นไปในทางกลับกันก็ตาม ถ้าเช่นนั้นแล้ว เหตุผลใดอยู่เบื้องหลังสถานการณ์ที่แปลกเช่นนี้? คำตอบก็คือ เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 6.2% ในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในรอบกว่า 30 ปี เงินเฟ้อที่สูงกว่านี้เคยเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1990 และเมื่อเทียบกับเดือนกันยายนแล้ว อัตราการเติบโตของราคาเพิ่มขึ้น 0.8% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (ยกเว้นราคาพลังงานและอาหาร) เพิ่มขึ้นที่ 4.6% ซึ่งเป็นการเพิ่มที่เร็วที่สุดในรอบ 30 ปีเช่นกัน และเงินเฟ้อจะยังไม่หยุดอยู่เท่านี้ มีการคาดการณ์ว่า เงินเฟ้อในสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นต่อไปในอีกไม่เดือน และจะมีผลต่อราคาที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภค พลังงาน และรถ ดัชนีราคาผู้บริโภคซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของค่าครองชีพในประเทศนี้ พุ่งเลยจุด 5% เป็นเดือนที่ห้าติดต่อกัน ทำให้มีข้อกังขาถึงคำยืนยันของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ระบุว่าเงินเฟ้อสูงนี้จะเกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งนอกจากนักลงทุนจะกังขาแล้ว ตัวธนาคารกลางสหรัฐฯ เองก็ยังกังขาด้วยเช่นกัน

หากมองตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์คลาสสิคแล้ว ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ควรอ่อนค่าลงอย่างมากในสถานการณ์เช่นนี้ อย่างไรก็ตาม การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลต้องใช้มาตรการกระตุ้นทางการเงิน (มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ) ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีค.ศ. 2020 อัดฉีดเงินจำนวนมากเข้าตลาดและลดอัตราดอกเบี้ย

ในที่สุด ธนาคารกลางสหรัฐฯ รายงานว่า จะค่อยๆ ลดงบ $120,000 ล้านของโครงการเข้าซื้อสินทรัพย์ โดยจะเริ่มในเดือนนี้ ทางด้านนายเจอโรม พาวเวลล์ ระบุว่า ยังไม่ถึงเวลาเพิ่มอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากตลาดแรงงานยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยมีการคาดการณ์ว่าตลาดจะฟื้นเต็มที่ภายในกลางปีค.ศ. 2022 และธนาคารกลางสหรัฐฯ จะรอจนถึงช่วงนั้น

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจำนวนมากรู้สึกว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจไม่ทนรอจนถึงช่วงนั้น เนื่องจากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และหน่วยงานกำกับดูแลนี้อาจต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยก่อนช่วงฤดูร้อนปีค.ศ. 2022

บทวิเคราะห์ของตลาดกลางซื้อขายสัญญาอนุพันธุ์ Chicago Mercantile Exchange (CME) ระบุว่า มีโอกาส 64% ที่อัตราจะสูงขึ้นก่อนเดือนมิถุนายน ก่อนหน้านี้ ทาง CME เคยมั่นใจว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อยหนึ่งครั้งในปีหน้า แต่ขณะนี้ ความเป็นไปได้ที่จะมีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสองครั้งในปีหน้าเพิ่มขึ้นจาก 63% เป็น 80% และความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสามครั้งเพิ่มจาก 29% เป็น 49% และมีผู้สังเกตการณ์บางส่วนเชื่อว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มดำเนินการเพื่อเพิ่มอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้

การคาดการณ์ดังกล่าวทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นต่อไป ซึ่งยังมีสาเหตุจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทำให้อำนาจการซื้อคูปองที่ใช้ซื้อพันธบัตรลดลง และมีนักลงทุนไม่มากที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งให้ผลตอบแทนทดแทนเงินเฟ้อเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น

ข้อมูลของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ระบุว่า ตลาดแรงงานที่ได้รับแรงสะเทือนจากเงินเฟ้อไม่สนใจการคาดการณ์ และสถานการณ์ก็ย่ำแย่กว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ เคยมีการคาดการณ์ว่า ผู้ขอเงินชดเชยการว่างงานจะลดลง 50,000 ราย แต่ตัวเลขจริงกลับเพิ่มขึ้น 59,000 ราย

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นทำให้มูลค่าของคู่ EUR/USD ถึงจุดต่ำสุดเท่ากับเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2020 โดยลดลงไปอยู่ที่ 1.1432 เมื่อวันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน และอยู่ที่ 1.1446 เมื่อช่วงสิ้นสุดสัปดาห์ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 900 จุดเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรนับตั้งแต่ช่วงต้นปี และหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ มูลค่าของคู่ดังกล่าวก็อาจลดลงไปได้อีก

อินดิเคเตอร์ของ D1 ชี้ลง ซึ่งเป็นการยืนยันการคาดการณ์ดังกล่าว และมีความแม่นยำ 100% เมื่อเทียบอินดิเคเตอร์เทรนด์อื่นๆ เช่นเดียวกับออสซิลเลเตอร์ แม้ว่าออสซิลเลเตอร์ราวหนึ่งในสี่จะอยู่ในโซนที่มีแรงขายมากเกินไปก็ตาม

เมื่อคำนึงถึงการปรับฐานที่อาจเกิดขึ้นแล้ว ผู้เชี่ยวชาญ 40% เห็นว่าคู่ดังกล่าวจะเติบโตขึ้น 60% เห็นว่าคู่นี้จะลดค่าลงไปอีก โดยระดับแนวรับที่ใกล้เคียงที่สุดคือ 1.1435, 1.1350 และ 1.1250 ในขณะที่ระดับแนวต้านอยู่ที่ 1.1525, 1.1575, 1.1615, 1.1665 และ 1.1715

สำหรับสถิติเศรษฐกิจมหภาคที่จะออกมาในเร็วๆ นี้นั้น จะมีการเผยแพร่ข้อมูลเบื้องต้นของจีดีพีเขตยูโรโซนในไตรมาสที่สาม ในวันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน โดยข้อมูลของการค้าปลีกในสหรัฐฯ จะเผยแพร่ในวันเดียวกัน ข้อมูลเหล่านี้สำคัญต่อการประเมินผลกระทบของเงินเฟ้อต่อตลาดผู้บริโภคในสหรัฐฯ และในช่วงท้ายสัปดาห์ คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป จะกล่าวสุนทรพจน์ในวันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน

GBP/USD ชัยชนะอีกครั้งของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ยังคงส่งแรงกดดันมายังค่าเงินอังกฤษ ทำให้มูลค่าคู่ GBP/USD ลดลงเป็นเดือนที่หกติดต่อกัน และมีค่าลดลงต่ำสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยอยู่ในโซนแนวรับ/แนวต้านระยะยาว ซึ่งคู่นี้เคยอยู่ในโซนนี้เป็นพักๆ ตั้งแต่ปีค.ศ. 2016 โดยมีมูลค่าต่ำสุดในประเทศสัปดาห์ที่แล้วอยู่ที่ 1.3352 และปิดสัปดาห์ที่ 1.3421

สถิติมหภาคที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน ไม่ได้ช่วยสนับสนุนค่าเงินปอนด์เช่นกัน โดยจีดีพีในไตรมาสที่สามสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ แต่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจอังกฤษชะลอตัวลงกว่า 3.5 เท่า จาก 23.6% ไปอยู่ที่ 6.6% และอัตราการเติบโตการผลิตภาคอุตสาหกรรมตกลงจาก 4.0% อยู่ที่ 2.9% (จากที่เคยคาดการณ์ที่ 3.4%) การชะลอตัวลงอย่างมากนี้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับพื้นฐานของอินดิเคเตอร์ฝั่งยูโรโซนและสหรัฐฯ ที่ราบเรียบกว่าแล้ว ทำให้นักลงทุนผิดหวังและรู้สึกกลัว

ภาวะที่อาจเกิดเศรษฐกิจถดถอยและชะลอตัวในขณะที่เงินเฟ้อสูงขึ้น รวมทั้งการเติบโตของจีดีพีที่ต่ำ เป็นอันตรายอย่างมากต่อเศรษฐกิจอังกฤษที่ยังคงได้ผลกระทบจากเบร็กซิต ผู้เชี่ยวชาญของธนาคารแห่งประเทศอังกฤษคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อประจำปีจะเพิ่มขึ้นที่ราว 5% ภายในเดือนเมษายน ค.ศ. 2022 และจะลดลงไปที่ 2% ตามที่ตั้งเป้าไว้ภายในสิ้นปีค.ศ. 2022 ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงมาก

แอนดริว ไบเลย์ ประธานธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ ระบุก่อนการประชุมเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนว่า เมื่อพิจารณาอินดิเคเตอร์ดังกล่าวแล้ว อาจต้องมีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่ากำหนด โดยตลาดมีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับปฏิกิริยาต่อการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตลาดเชื่อว่า ธนาคารแห่งนี้จะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในเดือนพฤศจิกายน ก่อนจะพบว่าไม่เป็นจริง เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศอังกฤษไม่ได้เพิ่มอัตราดอกเบี้ย และคู่ GBP/USD มีมูลค่าลดลงอีก

จะมีการเผยแพร่ข้อมูลการว่างงานของอังกฤษในวันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน ตามด้วยข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคของเดือนตุลาคมในวันถัดมา โดยปกติแล้ว สถานะของตลาดแรงงานและเงินเฟ้อจะส่งผลต่ออารมณ์ตลาดและทิศทางของค่าเงินปอนด์ ในขณะเดียวกัน ความเห็นของนักวิเคราะห์ต่อทิศทางตลาดแต่ละทิศทางนั้นแทบจะเท่ากัน โดยผู้เชี่ยวชาญ 35% เห็นว่าจะเกิดแนวโน้มตลาดหมี 35% เห็นว่าจะเกิดแนวโน้มตลาดกระทิง และอีก 30% มีความเห็นแบบเป็นกลาง

สำหรับออสซิลเลเตอร์ใน D1 นั้น 85% เป็นสีแดง และ 15% บ่งชี้ว่า คู่นี้มีแรงขายมากเกินไป อินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% ยังเป็นสีแดง ระดับแนวรับอยู่ที่ 1.3350 และ 1.3200 เป้าหมายของตลาดหมีอยู่ที่ 1.3135 ในขณะที่ระดับแนวต้านและเป้าหมายของตลาดกระทิงอยู่ที่ 1.3510, 1.3570, 1.3610, 1.3735 และ 1.3835
USD/JPY: ราคาพันธบัตรพุ่งสูง

จากการคาดการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดหวังว่า คู่ USD/JPY จะกลับมาอยู่ในแดนบวกที่ช่อง 113.40-114.40 ในช่วงแรก การคาดการณ์ดังกล่าวดูเหมือนจะไม่เกิดขึ้นจริง เนื่องจากคู่นี้ยังคงพุ่งตัวลงไปในทิศทางปรับฐาน ลงไปแตะที่ 112.70 อย่างไรก็ตาม คู่นี้ก็กลับมาพุ่งขึ้นที่ 114.30 ตามที่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ไว้ โดยปิดตัวช่วงท้ายสัปดาห์ที่ 113.90

การกลับทิศทางของคู่นี้มีสาเหตุมาจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ “แบบเฟ้อ” และผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยพันธบัตรสหรัฐฯ และคู่ USD/JPY ต่างส่งผลต่อกันและกันโดยตรง

หากพิจารณาจากนโยบายการเงินแบบอ่อนของธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น และการเพิ่มการควบคุมเส้นผลตอบแทนแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าค่าเงินเยนจะยังคงอ่อนค่าลง และคู่นี้จะยังคงเติบโตต่อไป แน่นอนว่า การตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลต่อทิศทางดังกล่าวด้วย

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเห็นว่า การที่คู่ USD/JPY พุ่งขึ้นไปแตะที่ 114.00 เป็นการกลับมาของแนวโน้มตลาดหมีที่เริ่มขึ้นเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2021 อย่างไรก็ตาม กราฟในช่วงวันที่ 10 มีนาคม – 27 กันยายน แสดงให้เห็นว่า การเคลื่อนตัวไปด้านข้างสามารถดำเนินไปได้หลายเดือนแม้จะไม่มีตัวขับเคลื่อนที่แข็งแรง ทั้งนี้ ค่าเงินเยนเป็นค่าเงินที่ปลอดภัยไม่เหมือนกับค่าเงินยูโรและค่าเงินปอนด์ และสามารถอยู่ท่ามกลางตลาดการเงินที่ผันผวนได้เป็นเวลานาน

ขณะนี้ นักวิเคราะห์ 55% คาดการณ์ว่า คู่นี้จะพุ่งตัวขึ้นต่อไปจนทะลุขอบบนของช่อง 114.40 ไปอยู่ในช่วง 115.00-116.00 และจะมีค่าสูงสุดในช่วงเวลาหลายปี นักวิเคราะห์อีก 35% มีความเห็นแบบตรงกันข้าม และอีก 10% คาดว่า คู่ USD/JPY จะอยู่ในช่อง 113.40-114.40 เป็นระยะเวลาหนึ่ง

ทางด้านออสซิลเลเตอร์ใน D1 นั้น 80% มีทิศทางขึ้น 10% มีทิศทางลง และอีก 10% เป็นสีเทาอยู่ตรงกลาง ในขณะที่อินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% อยู่บนฝั่งเขียว ระดับแนวต้านอยูที่ 114.40, 114.70 และ 115.50 โดยเป้าหมายกระทิงในระยะยาวอยู่ที่ 118.65 ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ.2016 ในขณะที่ระดับแนวรับที่ใกล้เคียงที่สุดอยู่ที่ 113.80, 113.40, 112.70, 112.00 และ 111.65

ข้อมูลของจีดีพีญี่ปุ่นในไตรมาสที่สามจะเผยแพร่ในวันจันทร์ 15 พฤศจิกายน โดยมีการคาดการณ์ว่า จีดีพีจะลดลงจาก +0.5% ไปอยู่ที่ -0.2%
.
กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX
.
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ th.support@nordfx.com #NORDFX #FOREX #TRADE #PROFIT #เทรด #กำไร #ทอง #ข่าวสาร #cryptocurrencynews #Bitcoin #News
เปิดร้านค้าออนไลน์ฟรี
แชร์   |    แจ้ง / รายงานสินค้า

ให้คะแนนสินค้า

กำลังโหลดรีวิว..